แชร์ประสบการณ์ไปเรียนภาษาที่ประเทศเกาหลี 2 เดือนคนเดียว (แบบไม่มีพื่้นฐานไปเลย!) ><

สวัสดีครัชทุกคนนนนน ^_____^

officially

เรามาตามสัญญาแล้ววว (เดี่ยวว สัญญาอะไรกับใครไว้เหรอออ555) เราจะมารีวิวประสบการณ์ที่เราตัดสินใจไปเรียนภาษาเกาหลีที่ประเทศเกาหลี 2 เดือน ซึ่งต้องบอกไว้ก่อนเลยว่าเราใช้เวลาตัดสินใจก่อนที่จะไป นานพอสมควรเลย ด้วยเหตุผลหลายๆอย่าง อันได้แก่ เราไม่มีพื้นฐานภาษาเกาหลีเลย ไปแค่สองเดือนกับการไม่มีพื้นฐานไปเลยมันก็คงไม่ได้อะไร แล้วอีกอย่างเลยคือเราไม่มีเพื่อนไปด้วยเลย บลาๆๆๆๆ ซึ่งหลายๆเหตุผลทำให้เราคิดหนักมากและใช้เวลาในการตัดสินใจเกือบ 4 เดือน T.T แต่ในที่สุดเราก็ตัดสินใจที่จะไป เนื่องจากเราพึ่งเรียนจบพอดีด้วย เลยบอกแม่ว่าขอเป็นขอขวัญเรียนจบ55 อยากลองทำตามหัวใจตัวเองดู ฮ่าๆ เนื่องจากปกติเป็นติ่งเกาหลีอยู่ด้วย ฟังเพลงเกาหลีทุกวัน(ทั้งๆที่ไม่เคยรู้ว่ามันแปลว่าไร แต่ชอบเพราะไม่รู้ความหมายนี่แหละ555) ดูซีรีย์เกาหลีเป็นว่าเล่น ชอบดาราเกาหลี นักร้องเกาหลี ชอบกินต็อก ชอบไก่ทอดเกาหลี ชอบบิงซู ชอบไปหมดดด555 เลยคิดว่าถ้าจะต้องไปลองเรียนภาษาที่สามสักประเทศนึง เลยต้องไปเกาหลีนี่แหละ ลองทำตามใจตัวเองสักครั้งดู ก็เลยอะะ โอเคค พอตัดสินใจว่าจะไปแล้วแน่นอน ก็เริ่มหาข้อมูลต่างๆดูว่า เราจะไปเรียนที่ไหน ไปเรียนกี่เดือน สมัครไปเองหรือไปกับเอเจนซี่ดี บลาๆๆๆ…

DSCF0281

หลังจากที่หาข้อมูลต่างๆแล้ว สุดท้ายเราก็ตัดสินใจไปเรียนที่สถาบันภาษาชื่อว่า Best Friend Korean Language School (สถาบันตั้งอยู่ที่ย่าน Sinchon) เนื่องจากเหตุผลที่ว่า เราอยากไปแค่ 2 เดือน เพราะว่าไปคนเดียวด้วย เลยกลัวว่าถ้าไปอยู่นาน เหงา แล้วไม่สนุกหรืออยากกลับบ้านขึ้นมาจะได้แบบว่าไม่นานจนเกินไป อีกอย่างเราไม่อยากเรียนแบบเครียดไป เพราะคิดว่าไปแบบไม่มีพื้นฐาน 2 เดือนมันไม่น่าได้อะไรมากอยู่แล้ว และเหตุผลหลักๆที่เราไปครั้งนี้จริงๆก็คืออยากไปลองดู อยากไปลองใช้ชีวิตที่นู้นดู อยากไปซึมซับบรรยากาศเกาหลีให้เต็มที่555 ประมาณนี้ก็จะถือว่าบรรลุเป้าหมายแล้ว และที่เราเลือกไปเรียนที่สถาบันนี้เพราะว่าคอร์สของที่นี่คือเราจะสามารถลงเรียนแบบว่า กี่วัน กี่อาทิตย์ กี่เดือน ก็ได้แล้วแต่เราเลย และเท่าที่เราดูคอร์สของมหาลัยต่างๆ อย่างพวก Ewha, Hongik, Sogang ฯลฯ ตอนช่วงเราไปคือส่วนใหญ่จะเป็นแบบคอร์ส 3 เดือนขึ้นไปหมดเลย แต่เราเคยเห็นคอร์สบางมหาลัยที่มีแบบเดือนเดียวก็มีนะ แต่ช่วงเราไปเหมือนจะไม่มี อันนี้ถ้าใครจะไปก็ลองดูนะว่าช่วงที่จะไปนั้น ระยะของคอร์สแต่ละที่เป็นยังไงบ้าง และเท่าที่ทราบมาคือที่มหาลัยจะเรียน 5 วันต่ออาทิตย์ และเรียนวันละประมาณ 4 ชั่วโมง แต่ว่าสถาบันภาษาที่เราไปเรียนจะเรียนแค่ 4 วันต่อ 1 อาทิตย์ คือหยุดทุกวันพุธ และเรียนแค่ 3 ชั่วโมงต่อวันเท่านั้น เราเลยตัดสินใจไปเรียนที่สถาบัน เพราะอยากชิว กลัวเครียดเกิน555555 เอ้ออ ลืมบอกว่า เราไปช่วงต้นเดือนตุลาคม – ต้นธันวาคมนะ ซึ่งมันจะเป็นช่วงคาบเกี่ยวของฤดูใบไม้ร่วงไปจนถึงฤดูหนาว ซึ่งแอบพลาดมาก เพราะคือตอนแรกที่ไปถึงมันจะไม่ค่อยหนาว ก็เลยไม่ได้เตรียมเสื้อหนาวไปมาก ลืมไปว่าอยู่ถึงต้นธันวา ซึ่งจริงๆพฤศจิกา มันก็หนาวมากแล้วว55 คือต้องซื้อเสื้อโค้ทเป็นการใหญ่มากตอนอยู่ช่วงหลังๆ55… ต่อไปนี้เราจะขอเขียนแยกเป็นหัวข้อๆนะ เพื่อเป็นการไม่เยิ่นเย้อและอ่านยากจนเกินไป55 ปล.ขอลงรูปบรรยากาศคั่นไปเรื่อยๆเพื่อเพิ่มอรรถรสในการอ่านนะ บางภาพอาจไม่เกี่ยวกับเนื้อหาในตอนนั้นนะ555

– สมัครไปเองหรือสมัครผ่านเอเจนซี่ดี?

DSC02370

เราไปครั้งแรกเลยคิดว่าสมัครผ่านเอเจนซี่น่าจะง่ายกว่า เราเลยตัดสินใจไปกับเอเจนซี่ (สอบถามเอเจนซี่กันหลังไมค์ได้) ซึ่งเอาจริงๆตัวเลือกไม่เยอะหรอกถ้าใครเคยหาข้อมูลเกี่ยวกับเอเจนซี่ที่ไปเกาหลี จะมีอยู่ไม่กี่ที่ สำหรับส่วนของเอเจนซี่ที่เราไปด้วย คือก็จะมีค่าใช้จ่ายที่ต้องให้กับทางเอเจนซี่เป็นค่าใช้จ่ายในไทยและเกาหลี(ราคาสอบถามหลังไมค์ได้) ซึ่งเขาจะบริการเราในส่วนของ – การให้คำปรึกษาต่างๆ – การสมัครเรียนให้ – การจองตั๋วเครื่องบินให้ – การหาหอให้ ฯลฯ และยังรวมถึงจะมีบริการคือมีคนมารับที่สนามบินพาเราไปส่งที่หอ พาไปเดินดูการเดินทางต่างๆไปยังที่เรียน พาไปดูธนาคารไว้กดเงิน แนะนำร้านอาหาร ร้านยาที่ใกล้หอ ก็คือแนะนำการใช้ชีวิตที่เกาหลีอะไรประมาณนี้ ซึ่งคนที่คอยบริการเราก็จะเป็นคนไทยในส่วนของเอเจนซี่เรานะ(เพราะเคยมีเพื่อนที่ไปเหมือนกัน เคยเล่าให้ฟังว่าเพื่อนเราไปกับอีกเอเจนซี่นึง แต่ได้คนที่บริการที่นู้นเป็นคนจีนที่พูดอังกฤษได้ และไม่ค่อยสนใจสักเท่าไร อันนี้เราเลยคิดว่าควรถามเอเจนซี่ที่เราไปด้วยให้ละเอียด) แต่ของเราเป็นคนไทย แต่พอดีว่าเรากับครอบครัววางแผนไปเที่ยวกันก่อนที่เราจะเริ่มเรียน เราเลยไม่ได้ให้เขามารับที่สนามบิน แต่ให้มารับที่โรงแรมแทน เพื่อพาเราไปที่หอของเรานั่นเอง เราว่าอันนี้ถ้าใครจะไปคนเดียว แล้วไม่เคยไปเกาหลีเลย และสื่อสารไม่ได้ทั้งอังกฤษและเกาหลี อันนี้ก็ดูเป็นทางเลือกที่ดีนะ เพราะคนที่บริการที่นู้นจะช่วยเราได้ แต่เขาก็จะอยู่กับเราแค่ 1 วันเท่านั้น แต่ก็ขอไลน์เขาไว้ได้ เผื่อจะถามอะไรเพิ่มหรือขอคำแนะนำอะไรเพิ่มเติม แต่เราว่าสมัยนี้ถ้าใครใช้พวก google map เป็นแล้ว และพอสื่อสารอังกฤษได้ ก็ชิวแล้ววว เพราะคนส่วนใหญ่ที่เกาหลีสมัยนี้ก็พอจะสื่อสารอังกฤษกันได้แล้ว ไม่เหมือนเมื่อ 3 ปีก่อนที่เราไปเที่ยว555 แต่มันก็อาจจะไปมีปัญหาเรื่องหอเหมือนที่เราเจออีก อ่านต่อที่หัวข้อที่พักต่อได้เลย บอกเลยว่าเพลียสู๊ดดดด55

– พักที่ไหนอะไรยังไง?

DSC03066

…ในหัวข้อนี้คือมีความโชคร้ายปนโชคดี555 ใครที่จะไป อยากให้อ่านหัวข้อนี้เยอะๆเลยย55

เรื่องที่ีพักนี้บอกเลยว่าอยากกเม้าท์สู๊ดดดดดดดดดดดดดดดดด! 555 คือของเรา เอเจนซี่ก็จะมีหน้าที่ในการหาที่พักให้ ซึ่งเราก็ค่อนข้างกังวลเรื่องที่พักบ้าง เพราะได้ยินชื่อชื่อเสียงเกียรติศักดิ์เกี่ยวกับหอที่เกาหลีจากเพื่อนที่เคยไปมาพอสมควร คือในส่วนของที่พัก เราไปเรียน 2 เดือน ทางเลือกมันจะน้อยมากๆ หอพักที่หนีไม่พ้นเลยคือ “Goshiwon หรือโกชีวอน” เคยได้ยินกันมั้ยย เราว่าถ้าใครที่เคยไปเรียนหรือทำงานที่เกาหลีต้องรู้จักกันอย่างดีแน่นอน มันคือหอที่เป็นที่นิยมของนักเรียนที่ไปเรียนที่เกาหลีหรือคนวัยทำงานที่ไม่อยากอยู่ที่พักแพงๆ เนื่องจากราคามันจะไม่แพงมาก มีครัวรวมในหอให้ใช้ หลายๆที่จะมีข้าวฟรี กิมจิฟรี รามยอนฟรี บลาๆ มีเครื่องซักผ้า เตารีด ประมาณนี้ แต่ข้อเสียมันก็มีเหมือนกัน และประสบการณ์ของเรากับน้องโกชีวอนนี้ก็ไม่เบาเลยทีเดียวฮะ…! คือจริงๆเท่าที่รู้มันจะมีหอแบบ one room ด้วยที่จะแพงกว่าแต่ใหญ่กว่ามากและมีแบบห้องครัว เครื่องซักผ้าอยู่ในห้องเลย แต่ห้องแบบนี้มันจะต้องมีสัญญา 6 เดือนขึ้นไป เท่าที่รู้นะ แล้วเราลองถามพี่เอเจนซี่คนไทยที่นู้น เขาก็บอกว่าเขาจะไม่ค่อยหาแบบนี้ให้ เพราะค่ามัดจำมันจะแพงมากด้วย เราเลยคิดว่าถ้าใครที่จะไปเรียนแบบ 1 เทอม หรือสองสามเดือนแบบเรา คงต้องอยู่ goshiwon แบบไม่มีทางเลือกอ่ะ555(ถ้าใครรวยๆก็นอนโรงแรมได้นะ555555) ไปฟังเรื่องของหอที่เราไปอยู่ได้เลยยยย

DSC02684

คือจะเล่าตั้งแต่แรกอย่างละเอียดเลยว่า เราก็กังวลมากนะเรื่องหอ เราก็รีเควสสิ่งที่ต้องการให้ทางเอเจนซี่ไปบลาๆๆๆ แล้วตอนแรกคือร้อนใจมากเพราะว่า เอเจนซี่บอกว่าจะให้ชื่อหอมาให้เราเลือกก่อนแค่ 1 เดือนก่อนไป เพราะว่าทางหอที่เกาหลีปกติจะเป็นแบบนี้คือให้ถามว่ามีห้องว่างไหมก่อนแค่ 1 เดือน ตรงนี้เราก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเหมือนกัน55… สุดท้ายพอถึงเวลาก่อน 1 เดือน ทางเอเจนซี่ก็นำหอมาให้เราเลือก มีด้วยกัน 4 หอ ซึ่งบอกเลยว่า ใครมันจะไปตัดสินใจถู๊กกกกกก!! เพราะอะไร… ก็เพราะว่าหอทั้งสี่ที่มันไม่ได้ต่างกันมากเลย คือข้อมูลที่ทางเอเจนซี่ให้มาของแต่ละหอรวมถึงรูปห้องนอน ห้องครัวต่างๆ ก็คือแทบไม่ต่างกันเลยยยยยยยยย! แล้วเราจะบอกว่าตอนแรกทางเอเจนซี่ให้ชื่อหอมาเป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งเราเอาชื่อหอทั้ง 4 ไป search หาข้อมูลใน google คือหาไม่เจอเลยสักที่ จนต้องไปขอชื่อหอที่เป็นภาษาเกาหลี ถึงพอจะหาเจอ แต่ข้อมูลที่หาได้ก็จะได้แค่ที่ตั้งว่าหอแต่ละที่อยู่ตรงจุดไหน แล้วใกล้ที่เรียนมากน้อยแค่ไหน แต่จริงๆทั้ง 4 สี่ ทางเอเจนซี่เขาก็จะเลือกที่ที่ใกล้ที่เรียนเราทั้งหมดนั้นแหละ เราก็ใช้เวลาพอสมควรในการตัดสินใจ ให้เพื่อนที่เคยไปเรียนแถวนั้นช่วยดูด้วยว่าอันไหนน่าจะโอเคสุด จนสุดท้ายก็ตัดสินใจเลือกได้ เอ้อ คือเราจะบอกว่าตอนเอเจนซี่ให้ข้อมูลหอทั้ง 4 สี่กับเรามา คือแต่ละหอมันก็จะมี ราคาห้องด้วย ว่าแบบหอนี้มีห้องราคาไหนบ้าง ไล่จากสูงสุดไปต่ำสุด คือเราก็เลยเลือกหอที่มันมีห้องที่ราคาสูงสุดใน 4 หอนี้ เพราะไม่ใช่อะไรนะ คือเราคิดไว้แล้วว่าโกชีวอนห้องมันต้องเล็ก เพื่อนเรายังบอกว่าเคยไปเที่ยวห้องเพื่อน คือมันเล็กจริงๆ เลยแบบเลือกที่น่าจะ safe ไว้ก่อน แต่สรุปว่าาาาา !!!! พอเราเลือกไปแล้ว ทางเอเจนซี่ก็ไปติดต่อกับทางเจ้าของหอ ทางเจ้าหอกลับบอกว่าห้องในช่วงตอนที่เราจะไปเหลือแค่ราคา X ซึ่งมันเป็นราคาที่แบบว่าถูกมาก คือรู้เลยว่าห้องจะต้องเป็นยังไง ซึ่งตอนนั้นเราก็แบบว่าเกรงใจเอเจนซี่เพราะว่าเราเคยเปลี่ยนใจรอบนึงแล้ว แบบว่าตอนแรกจะเอาหอนี้แหละ และเราก็บอกกับทางเอเจนซี่ว่าถ้าเปลี่ยนทันไหม เขาก็บอกว่าทัน แต่ถ้าครั้งต่อไปขอให้แบบเอาแน่นอนไปเลย เพราะว่าเขาไปถามทางหอไว้แล้ว เราเลยแบบว่า เอ้ออ เอาก็เอาาาา **ตรงนี้แหละ เราจะบอกว่าถ้าใครที่จะไปกับเอเจนซี่ คือไม่ต้องเกรงใจเหมือนเรานะ เพราะว่าเราต้องเอาความสบายใจของเราเป็นหลัก คือต้องถามให้ละเอียดเลยว่า ห้องราคาที่จะไปอยู่นั้น ขนาดเท่าไร มีสิ่งอำนวยความสะดวกอะไรในห้องบ้าง เราว่ามันถามได้ คือถ้าให้ make sure จริงๆอะเราว่าให้เขาถ่ายรูปของจริงมาให้ดูเลย เพราะถ้ามัวแต่เกรงใจแบบเรามันจะไปลำบากตอนไปอยู่จริงนะบอกเลย อันนี้เจอมากับตัวเลยกล้าพูด เพราะเรารีเควสเขาไปแค่ให้มีห้องน้ำในตัวแค่นั้น แต่ลืมถามพวกสิ่งอำนวยความสะดวกยิบย่อย คือมัวแต่เกรงใจและไม่อยากถามเยอะแยะ เลยไม่รู้เลยว่าห้องที่จะต้องไปเจอจะเป็นยังไง….

DSCF1412

วันที่ไปถึงที่หอ ก็เตรียมใจมาระดับนึงละนะ คือคิดแบบร้ายไว้สุดๆเลย แต่ของจริงคือแบบ เราเศร้าตั้งแต่ทางเดินขึ้นหอละ เพราะไม่มีลิฟท์และบันไดชันมากจ้าาา5555 ข้างล่างหอเป็นผับด้วยนะ55 พอไปถึงหอก็เจอกับ อาจุมม่าาาา!!!!ที่หน้าตาแสนใจดีและดูใจดีม๊ากกก แต่…… แต่……. แต่……!!!!!!!!!!!!!!! อาจุมพูดอังกฤษไม่ได้เลยจย้าาาาาาาา!!!! พูดไม่ได้แม้แต่ yes หรือ no! แต่คือเรามีพี่คนไทยจากเอเจนซี่พาไปส่ง พี่เขาพูดเกาหลีได้ และพี่คนนี้แหละเป็นคนติดต่อเจ้าของหอนี้ ซึ่งตรงนี้แหละเราจะเน้นอีกด้วยว่าถ้าใครที่จะไปแล้วไม่มีพื่นฐานเกาหลีเลย คือพูดเกาหลีไม่ได้เลยแบบเรา คือต้องถามย้ำกับทางเอเจนซี่ด้วยว่าหอที่จองไปมีคนที่หอที่สามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้ไหม นี่จะบอกว่าขนาดเราถามเอเจนซี่แล้วนะ ตอนแรกเขาก็บอกว่าสื่อสารอังกฤษได้ แต่ทำไมพอเราไปถึงกลับเป็นแบบนี้ นี่คือมึนเลยยยยย แต่คือจองมาแล้วอะ คือใครจะไปต้องถามย้ำชัดเจนหลายๆรอบเลยนะ เพราะว่าถ้ามีปัญหาอะไรที่หอมันจะคุยกับเขาไม่ได้เลย เพราะพี่คนไทยก็อยู่กับเราแค่วันเดียว มันจะยุ่งมากๆเหมือนกับเรา อะะ ต่อๆ พอเจอกับอาจุมม่าเจ้าของหอ พี่คนไทยก็ติดต่อคุยให้ ให้เราเซ็นใบสัญญาอยู่หอ วางเงินมัดจำ แล้วอาจุมก็พาไปที่ห้อง แว๊บแรกที่เปิดห้องมา คือ… แบบว่า พี่จะเป็นลมมมม มันยิ่งกว่าที่คิดมากกกกกก คือรูปที่ทางเอเจนซี่เคยให้ดูมันคงเป็นห้องที่แพงกว่านี้ และเราก็เอาชื่อหอไป search ก็ไม่เจอรูปอื่นเลย แต่ห้องที่เราไปดูคือแบบ มันเล็กมาก!!!! เสียดายห้องแรกเราไม่ได้ถ่ายรูปไว้ ตอนนั้นคือเฟลกับชีวิตมากเลยไม่มีอารมณ์ถ่าย55 คือมันแคบมากแบบแคบจริงๆ อย่าถามถึงกระเป๋าเดินทางเลย ต้องเอาไว้ข้างนอกเท่านั้น แล้วที่เราไม่ชอบห้องนี้มากๆเลยคือตรงกำแพงห้องน้ำมันแบบว่าเป็นปูนหนาๆเลยอะ คือมันทำให้รู้สึกอึดอัดมาก แค่มองยังอึดอัดแล้วอะ แล้วตู้เย็นก็คือไม่อยู่ในห้องนะ ไปอยู่ด้านนอกเฉียงๆกับห้องซะงั้น ทั้งๆที่ห้องอื่นก็มีตู้เย็นอยู่ในห้องนะ เดินเข้าไปในห้องแล้วแบบ คิดในใจว่านี่คือห้องที่ต้องอยู่ไปอีกสองเดือนเหรอ ร้องไห้ในใจใหญ่มากกก แต่วินาทีตอนนั้นคือแบบ ฮึบบ เราเลือกมาแล้วนิ ก็คงต้องทน ฮือออ อ้อแล้วคือพวกหมอน ผ้าห่มก็ไม่มีนะ แต่ทางหอมีให้เช่า คือพอขนของเข้าห้องเสร็จ พี่คนไทยก็กลับ ทีนี้ตอนเราเริ่มจัดห้องไป ในใจนี้คือร้าวระทมมากกก และจุดที่ทำให้เราคิดว่าต้องทำอะไรสักอย่างคือได้ยินเสียงฝรั่งห้องข้างๆคุยกันดังมาก คุยตลอดเวลา เป่าผมก็ได้ยิน ขนาดเขากดชักโครกยังก็ยินอ่าาาา เราเลยแบบไม่ไหวแล้ว เราต้องทำอะไรสักอย่างง เราเลยตัดสินใจเดินไปหาอาจุมม่า แล้วพูดแบบใช้ภาษามือบ้าง พูดอังกฤษบ้าง หาคำศัพท์เกาหลีใน google บ้าง ถามว่า มีห้องที่ใหญ่กว่านี้มั้ยยย คือตอนนั้นติดต่อพี่คนไทยไม่ได้ด้วย ลำบากมาก ก็งูๆปลาๆไปจนอาจุมม่าเข้าใจ พาไปดูห้องที่ใหญ่กว่าซึ่งอยู่ชั้นบนด่านฟ้า ซึ่งน่ากลัวมากเลยไม่ได้เอา แพงกว่ามากด้วย และคือคิดถึงตอนกลับว่าต้องขนกระเป๋าลงมา คงตายอะ55 จนเราเกือบตัดใจต้องอยู่ห้องนี้แล้ว แต่แล้วเราก็ไปบอกว่าอยากได้ตู้เย็นมาไว้ในห้อง อาจุมม่าก็ใจดีมาก ไปเรียกลูกๆมาช่วยวัด ซึ่งยังดีที่ลูกๆอาจุมม่าพอฟังภาษาอังกฤษรู้เรื่องบ้าง55 แล้วก็เหมือนฟ้ายังเห็นใจ ตอนที่ลูกอาจุมม่าไปเปิดห้องอีกฝั่งนึงเพื่อจะเอาตู้เย็นจากห้องนั้นมาไว้ห้องเรา เพราะตู้เย็นของห้องเราที่อยู่เฉียงออกไปนอกห้องนั้น มันใหญ่เกิน เขาเลยต้องไปเอาของอีกห้องมา ซึ่งตอนที่เขาไปเปิดห้องที่อยู่อีกมุมหนึ่ง เราเลยรีบวิ่งไปดู เพราะว่าเราอยากถามอาจุมม่ามากว่าขอดูห้องอื่นที่ยังว่างอยู่ได้ไหม แต่เราไม่รู้จะสื่อสารยังไง เลยได้โอกาสวิ่งไปดู และคือห้องที่วิ่งไปดูนั้น มันโอเคกว่ามากๆๆๆๆๆๆๆๆ ขนาดมันเท่าๆกันนะ แต่กำแพงห้องน้ำมันเป็นแบบกระจกใสๆอะ ซึ่งมันดูโปร่งมากและดูไม่อึดอัดแบบไอ่ห้องเล็กที่เจอ เราเลยแบบว่ารีบบอกลูกอาจุมม่าว่าขอเปลี่ยนเป็นห้องนี้แทนได้ไหม เขาก็บอกว่าได้ แต่ห้องนี้แพงกว่าอันเมื่อกี้ แสนวอน เราก็โอเคเลย ย้ายของจากห้องแรกนั้นมาห้องนี้แทน ซึ่งห้องใหม่นี้ราคา 5 แสนวอนถ้าจำไม่ผิด ห้องแรกนั้นคือ 4 แสนวอน แต่คือพอเรามาจัดของในห้องที่สองนี้เสร็จเราก็มานั่งคิดได้ว่า จริงๆมันก็อาจจะมีห้องที่ดีกว่านี้ไหมอ่ะ คือตอนแรกก่อนที่พี่เอเจนซี่จะกลับไป ที่เราไม่ได้ทักท้วงอะไร เพราะเราคิดว่าเราจองห้องนี้มาแล้ว ไม่น่าเปลี่ยนได้และไม่คิดว่าจะมีห้องอื่นว่าง ก็เพราะไหนตอนเอเจนซี่ทักมาถามทางหอ ทางหอก็บอกว่าช่วงที่เรามามีห้องว่างแค่นั้น คือถ้ารู้ว่ามีห้องว่างห้องอื่น เราก็คงขอเปลี่ยนแต่แรกหรือขอดูห้องที่ว่างห้องอื่นแล้ว (เราขอแนะนำให้มีอะไรสงสัยต้องถามเท่านั้น อย่าปล่อยไปแบบเรา55) พอเรารู้แบบนี้เราเลยไปหาอาจุมม่าอีกที ตอนนั้นคือเราติดต่อพี่คนไทยได้พอดี เลยให้เขาคุยให้ว่ามีห้องที่ใหญ่กว่านี้ไหม อาจุมม่าเลยบอกว่ามีห้องราคา 6 แสนห้า แต่ตอนนี้กำลังซ่อมแซมผนังอยู่น่าจะเสร็จอีกประมาณสองอาทิตย์ เราจะโอเคมั้ย เราก็โอเค รอได้ ก็เลยโอเค อาจุมบอกว่าถ้าเสร็จแล้วจะมาเรียกเราอีกที บทสรุปช่วงแรกเราเลยได้ใช้ชีวิตอยู่ในห้องนี้ ซึ่งเราถ่ายรูปไว้ ไปรีวิวห้องแรกที่เราอยู่กันเลยฮะ

Photo 10-29-2560 BE, 2 13 11 AM

นี่คือห้องแรกที่เราอยู่ครัช อันนี้ถ่ายจากนอกประตูเข้าไป ประมาณนี้เลย อย่างที่บอกไว้ว่าตรงกำแพงห้องน้ำของห้องนี้มันจะเป็นกระจกใสๆซึ่งโปร่งกว่าห้องแรกสุดที่เราบอกว่ามันเป็นปูนหนาๆ คืออันนี้โอเคกับห้องแรกที่เกือบได้อยู่มากๆ 555 แต่ก็ถือว่ายังเล็กมากสำหรับเรา เพราะเราไม่ใช่คนตัวเล็กด้วย บอกเลยว่าเราอยู่ห้องนี้ประมาณเดือนนึง ได้แผลมาเยอะมาก!!! เพราะว่ามือและแขนจะไปชนกับผนังและตู้เย็นบ่อยมากกกกกกกกก แงงง 555 พยายามระวังละนะ T_T

Photo 10-29-2560 BE, 2 13 36 AM

ห้องน้ำก็จะประมาณนี้ แล้วห้องนี้คือห้องน้ำมีปัญหามากตรงที่เวลาอาบน้ำ น้ำมันไหลออกมาตลอดเวลา จนเราต้องไปซื้อผ้ามารองน้ำ T.T แต่นอกจากปัญหานี้ก็ไม่มีปัญหาอะไรสำหรับห้องน้ำ น้ำร้อนก็ปรับได้โอเค

Photo 10-29-2560 BE, 2 13 42 AM

มีตู้เสื้อผ้านะ แต่มันเล็กมาก ใส่ได้ไม่กี่ตัว นอกนั้นก็ต้องเอามาแขวนไว้แบบนี้ ซึ่งเราโอเคนะกับการแขวนไว้แบบนี้ หยิบใส่ง่ายดี55

Photo 10-29-2560 BE, 2 13 53 AM

อันนี้ถ่ายจากอีกมุม จะเป็นตู้เสื้อผ้า

Photo 10-29-2560 BE, 2 14 10 AM

ส่วนอันนี้ส่วนของโต๊ะเขียนหนังสือ มีตู้เย็นอยู่ข้างล่าง ซึ่งน้ำหยดตลอดเวลาและไม่รู้ว่าจะมีช่อง freeze ไว้ทำไมในเมื่อแช่ไอติมไปก็ละลาย5555 ด้านบนก็มีส่วนไว้ของได้ ก็จะประมาณนี้ กระเป๋าเดินทางไม่ต้องถามหาเพราะต้องไว้ข้างนอกอย่างเดียวเลย เออ แล้วส่วนของแอร์นี่ไม่ต้องถามถึงนะ ตอนแรกไม่มีพัดลมให้ด้วยซ้ำ จนเราต้องไปเช่าอาจุมม่าเจ้าของหอ ซึ่งจริงๆมันควรมีให้อ่ะ เพราะหอเพื่อนเรายังมีให้เลย ถึงอากาศจะเย็นๆก็เหอะ แต่ในห้องมันอับมากนะ หน้าต่างก็บานนิดเดียว คือถ้าไม่มีพัดลมเราก็คงอยู่ไม่ได้เหมือนกันอะ55

Photo 10-29-2560 BE, 2 14 01 AM

เนี่ย หน้าต่างงงงง5555 บานเล็ก แต่มีหลายชั้นมากๆ สงสัยไว้กันในช่วงหน้าหนาว

…โดยรวมการใช้ชีวิตที่ห้องแรกอันนี้ ช่วงแรกๆเราก็อึดอัดนะ แต่อยู่ๆไปสักอาทิตย์กว่าๆก็เริ่มชินน และที่โอเคกับห้องนี้เพราะว่ามันสงบมากกกก คือช่างต่างกับห้องแรกที่เกือบได้อยู่นั้นมากๆ ที่จะได้ยินเสียงคนคุยกันตลอดเวลา คือห้องนี้มันอยู่อีกฝั่งหนึ่งกับห้องแรกนั้น เชื่อไหมว่าเราไม่เคยได้ยินเสียงคนคุยกันเลย หรืออาจโชคดีเพราะห้องข้างๆเขาไม่พูดมากก็ไม่รู้นะ แต่เราโอเคมากๆกับความสงบ ติดแค่มันคับแคบนี่แหละ55 แต่อยู่นี่เวลานั่งฟังเพลงในโน้ตบุ๊คคือต้องใส่หูฟังตลอดเวลาเพราะกลัวมันดังไปห้องข้างๆ คือแบบติดนิสัยจนกลับมาไทยตอนนี้ ก็คือใส่หูฟังตลอดเลย5555 อยู่ห้องแรกนี้คือเวลาซักผ้าก็คือห้องซักผ้าจะอยู่ที่ชั้นที่เราอยู่นี่แหละ คือชั้นสามนั่นเอง เวลาจะซักก็เอาไปเข้าเครื่องซัก เป็นแบบปั่นแห้ง แต่ก็ต้องตากอยู่ดี เวลาตากก็ต้องขึ้นไปชั้นด่านฟ้า ซึ่งสูงสู๊ดดดและบันไดชันสุดดดดดด!! แต่เราก็ไม่ได้ซักบ่อย เพราะอากาศมันเย็น เสื้อผ้าไม่เปื้อนมากก็ใส่ซ้ำบ้าง 555555555555 ไม่ได้อ้างนะ(จริงๆก็ขี้เกียจเอาขึ้นไปตากนั้นแหละ55) ชั้นที่เราอยู่จะมีครัวให้ทำอาหารด้วย ก็เห็นคนทำบ่อยๆนะ แต่เราไม่มีอารมณ์ทำ ซื้อมากินตลอด แล้วก็ชั้นเราจะมีข้าวเปล่า กิมจิ สาหร่าย น้ำดื่มให้กดฟรี มีทั้งเย็นและร้อน ร้อนนี้แบบว่าต้มมาม่าได้เลยนะ เราก็ชอบซื้อไก่ทอดมาแล้วไปตักข้าวกิน(แถวชินชนมีร้านไก่ทอดฟินๆเยอะมากกก ไว้เดี่ยวแนะนำ) ฟินสุดดดด555 พวกจาน ช้อนส้อมที่หอก็มีนะ แต่เราซื้อเป็นของตัวเองไว้เลย (สามารถซื้อของใช้ส่วนตัวต่างๆได้ที่ไดโซะหรือ art box เลย สะดวกมากๆ แทบไม่ต้องเอาอะไรไปเลยมั้งเอาจริง55)

DSCF2446

โดยรวมแล้วก็คืออยู่ได้ชิวๆ หรือเพราะชินก็ไม่รู้5555 แต่พอประมาณเดือนนึง อาจุมม่าก็โทรไปบอกเอเจนซี่เราว่าห้องที่ตกลงกันไว้ตอนนี้เสร็จแล้ว(ยังไม่รู้เลยว่าคุณป้าชื่ออะไร เรียกอาจุมม่าจนติดปาก555 แต่เราไม่เคยไปเรียกคุณป้าเขาว่าอาจุมม่านะ เพราะรู้มาว่ามันไม่ใช่คำสุภาพมากที่จะเรียกคนอื่น แต่เราก็ไม่เคยคุย ปกติก็จะใช้ภาษามือคุยกับเขา555) ให้เราย้ายไปได้เลย(ช้ากว่าที่บอกไว้ตอนแรกประมาณสองอาทิตย์ แต่เราก็ไม่ได้ทักท้วงอะไร เพราะก็ชินไปแล้ว คิดว่าถ้าห้องใหม่ไม่เสร็จ ก็อยู่นี่ก็ได้555)

แต่พอได้ย้ายไปห้องใหม่ ซึ่งอยู่ชั้นสอง ก็เหมือนสวรรค์ได้เห็นใจเราแล้ว เพราะห้องใหม่นี้ มันคือเหมือนในรูปที่เอเจนซี่ส่งให้ดูตอนแรกเป๊ะ กว้างกว่าระดับนึงเลย คือดีมาก และมีแอร์ด้วย มีที่ยืดตัวแล้ววววว! มีทางให้เดินแล้ว ชีวิตเหมือนได้ขึ้นสวรรค์ เวอร์มะ55555555 มันราคาแพงกว่าแสนห้าวอน แต่เราว่ามันคุ้มกว่าเป็นไหนๆ แล้วคือมีราวตากผ้าหน้าห้องด้วยนะ ไม่ต้องขึ้นไปตากบนด้านฟ้าแล้ว แต่ต้องขึ้นไปซักผ้าชั้นสามเหมือนเดิม55 ทางเดินไปที่ห้องก็กว้างกว่าชั้นเดิมมากๆ เราคิดว่าชั้นสองนี้น่าจะเป็นชั้นที่โอเคสุดแล้ว เพราะอะไร… คือประตูทางเข้าชั้นสองนี้มีรหัสกดเข้าไปด้วยนะ พีคมาก หน้าห้องเราก็มีให้ตั้งรหัส แต่เราขี้เกียจตั้ง55 แต่ชั้นสามที่ตอนแรกเราอยู่ ไม่มีนะ คือใครจะเดินเข้าไปก็ได้อะ เอาจริงๆมันไม่ปลอดภัยเท่าไรนะ ยิ่งถ้าใครเป็นผู้หญิง ต้องถามเอเจนซี่ดีดีเลยแหละ ไปดูห้องใหม่เรากัน

Photo 10-29-2560 BE, 4 05 55 PM

คลิกดูรูปใหญ่ได้เลย คือรู้สึกว่าชีวิตดีขึ้นมาก อาจดูไม่ใหญ่มาก แต่ของจริงคือโอเคเลย สบายมาก จริงๆเราไม่ได้ชอบอยู่ห้องใหญ่มากๆอยู่แล้ว แต่อันนั้นคือเล็กไป๊55 คือชีวิตก็คือโอเคเลยในหนึ่งเดือนก่อนกลับ เพราะเราเป็นคนค่อนข้างติดห้อง คือไม่ว่าวันไหนจะออกไปไหนทั้งวัน ก็ต้องขอมีเวลามานั่งเล่นคอมดูหนัง ใช้ชีวิตในห้องด้วย55 อย่างที่ได้เล่าไปทั้งหมด(อย่างค่อนข้างจะละเอียดนะ555) จะเห็นได้เลยว่าการสอบถามให้ละเอียดก่อนไปนั้นมันสำคัญมากกกก! ดังนั้นถ้าใครที่จะมา ไม่ว่าจะมาเองหรือมากับเอเจนซี่ก็อยากให้ศึกษาเกี่ยวกับหอที่จะมาพักให้ดี เพราะใครว่าที่อยู่ไม่สำคัญนั้น ก็อาจจะแล้วแต่คน แต่สำหรับเราถ้าที่อยู่โอเค ก็เป็นส่วนที่จะทำให้ชีวิตการอยู่ที่นี่โอเคขึ้น แต่เราก็ดีใจนะที่ได้มีโอกาสลองอยู่ห้องทั้งสอง เพราะมันคือหนึ่งในประสบการณ์ดี อยู่สบายไปกลับมาก็คงไม่มีอะไรให้รู้สึกภูมิใจ555 และที่สำคัญอย่างที่บอกไปว่าถ้าใครที่ไม่มีพื้นฐานเกาหลีมาเลย ควรย้ำเอเจนซี่ให้หาหอที่เจ้าของสามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้ ไม่งั้นจะวุ่นวายมากแบบเรา นี่เรายังโชคดีที่เจออาจุมม่าที่ใจดีมากกกก คือเขาก็พยายามเข้าใจเรา ไม่เหวี่ยงหรืออะไรเลย ใจดีตลอดทั้งสองเดือนที่อยู่ เจอก็ทัก มาเคาะห้องเอาของกินมาให้กินบ่อยๆด้วย555  นี่ถ้าสื่อสารได้คิดว่าคงสนิทอะ อาจุมม่าก็ถือว่าเป็นเรื่องดีๆที่เจอนะ นี่พิมพ์ไปก็คิดถึงอาจุมม่าเลย55 ปล.ในเรื่องของเน็ทที่หอ ที่หอเราก็มี Wifi ให้นะ เร็วบ้าง ช้ามากแล้วแต่อารมณ์ของเน็ท555 *สรุปคือเราก็โอเคกับหอนี้นะ(ถ้าไม่นับเรื่องสื่อสารไม่รู้เรื่อง) เพราะมันสะดวกมาก เดินออกมาหน้าซอยก็มีร้านอาหาร ร้านสะดวกซื้อทุกอย่าง แทบไม่ต้องเอาอะไรไปเลยมั้งอะเอาจริง มีขายหมดจริงๆ55 และอีกอย่างคือเดินไปสถาบันที่เรียนเรา ไม่ถึง 3 นาทีอะ คือใกล้มาก555 ถามหอหลังไมค์กันได้ แต่ก็นั่นแหละมันก็แล้วแต่คนนะ บางคนไปอาจไม่ชอบก็ได้ คืออย่างเรา เรามาโอเคกับห้องที่ได้ย้ายมาสุดท้าย เราเลยรู้สึกโอเคในภาพรวม หรือบางคนอาจจะชอบอยู่แบบเล็กๆ บางคนอาจจะไม่ได้ซีเรียสเรื่องหอมาก ก็อยู่ได้เลยชิวๆ.. หัวข้อต่อไปเราจะมาพูดถึงเรื่องการเรียนกันบ้างแล้ว กับการไม่มีพื้นฐานไปเลยยยยยย จะเป็นยังไงกัน ไปลุยกันเลยยย!

– การเรียนภาษาเกาหลีที่ Best Friend Korean Language School กับการไม่มีพื้นฐานไปเลย

DSCF1296

เราตื่นเต้นมากกกับการไปเรียนวันแรกกก! คือไปคนเดียว เพื่อนก็ไม่มี ฮือออ ชีวิตนี้เราเคยไปเรียนภาษาที่ไกลที่สุดคือประเทศอังกฤษ ไปคนเดียวด้วย แต่ตอนนั้นก็ยังไม่กลัวเท่าตอนนี้เลย เพราะตอนนั้นเรายังพอสื่อสารอังกฤษได้บ้างง แต่อันนี้คือกลัวมากเพราะภาษาเกาหลีไม่เคยเรียนไปเลยแม้แต่ตัวเดียว พูดได้แต่ อันยองงง 55555 ขอเล่าเกี่ยวกับสถาบันของเราอีกทีนะ ก็คือ “Best Friend Korean Language School” คิดว่าน่าจะเป็นสถาบันที่เด็กไทยหลายคนน่าจะรู้จักกัน ถ้าเคยหาข้อมูลในเน็ท เราคิดว่าน่าจะ(น่าจะนะ เพราะไม่แน่ใจ)เป็นสถาบันเดียวในโซลที่สอนภาษาเกาหลีแก่คนต่างชาติและน่าจะเป็นที่รู้จักมากสุดสำหรับในส่วนของสถาบันละนะ อันนี้ลองหาดูนะ อาจจะมีสถาบันที่อื่นอีก เราไม่แน่ใจ555 คือถ้าไม่เรียนสถาบันแบบนี้ก็มีอีกทางเลือกยอดฮิตคือมหาลัย เราได้กล่าวไปตอนต้นแล้วนะสำหรับความต่างของสถาบันกับมหาลัย อันนี้เราก็จะพูดถึงแต่ประสบการณ์ที่เราเจอของสถาบันที่เราเรียนนะ.. อะเริ่มมม… สถาบันนี้ตั้งอยู่ที่ย่านชินชนนะ

DSCF1416

สถาบันอยู่บนตึกนี้ มี 2 ชั้น ถ้าจำไม่ผิดคือชั้น 5 กับ ชั้น 6 (งงตัวเองว่าทำไมไม่มีรูปตอนเช้าเลย ถ่ายไว้แต่ตอนกลางคืน555)

วันแรกที่ไปถึงก็ไปต่อแถวเอาหนังสือเรียนก่อนเลย ซึ่ง staff ที่นั่นก็พอมีคนที่สื่อสารภาษาอังกฤษได้บ้างไม่ต้องเป็นห่วง จริงๆวันที่เปิดเรียนของที่นี่จะมีการสอบวัดระดับก่อน แต่ของเรา เรารีเควสกับทางเอเจนซี่ไปให้บอกเขาว่าเราไม่ขอสอบวัดระดับ ขออยู่ระดับเริ่มต้นเลย เราก็รับหนังสือ 2 เล่ม เล่มนึงเป็นหนังสืออ่าน อีกเล่มเป็นแบบฝึกหัดและสมุดโน้ต แล้วก็ขึ้นไปที่ห้องของเรา ซึ่งจะมีรายชื่อของเราแปะอยู่ที่ประตูด้วยเพื่อให้ดูให้แน่ชัดว่าเราอยู่ห้องไหน คอร์สเราจะเรียนตอนบ่ายสองโมงถึงห้าโมง ซึ่งเลือกเวลาไม่ได้ แต่ก็ดีเพราะเราตื่นสายเป็นปกติอยู่ละ55

หน้าตาหนังสือก็เป็นแบบนี้ ของเราเป็นแบบภาษาอังกฤษ คือมันจะมีเวอร์ชั่นภาษาจีน ภาษาญี่ปุ่นด้วยสำหรับเหล่าคนจีน คนญี่ปุ่น แต่ถ้าใครถนัดภาษาจีนหรือญี่ปุ่นมากกว่าอังกฤษ ก็สามารถขอได้นะ ส่วนถ้าคนที่มาจากประเทศอื่นๆรวมถึงอย่างเราจะได้แบบเวอร์ชั่น English พอขึ้นไปในห้องก็เจอกับเพื่อนๆในห้องเรียนเดียวกัน เราก็เข้าไปนั่ง ข้างๆเราเป็นคนสวิตเซอร์แลนด์ ในห้องก็มีหลากหลายประเทศมาก ทั้งอเมริกา อังกฤษ สวิตเซอร์แลนด์ สเปน รัสเซีย จีน ไต้หวัน ญี่ปุ่น ประมาณนี้ที่เราเจอในห้อง เอ้อแล้วจะบอกว่า ตอนแรกอะ เราคิดว่าจะมีแต่เด็กๆมาเรียน แต่ปรากฎว่าไม่ใช่อย่างที่คิดเลย ในห้องเรานะ มีตั้งแต่เด็กอายุ 15 จนถึงผู้ใหญ่อายุ 54 ยังมาเรียนเลย พีคมากกกก คนอังกฤษที่อายุ 54 เขาแบบเป็นเชฟอยู่ที่เกาหลีเลยมาเรียนภาษาเพิ่มอะไรงี้ แต่ส่วนใหญ่ก็จะอายุเท่าๆเราหรือยี่สิบปลายๆ สามสิบต้นๆก็มี แต่บอกเลยว่าอายุเท่าไรก็มาเรียนก็ได้ไม่แปลกเลยนะสำหรับสถาบันนี้ น่าจะต่างกับมหาลัย มหาลัยน่าจะมีเด็กเรียนเยอะกว่า อันนี้เราคิดเองนะ55

 

มาพูดถึงเรื่องเรียนกันเลยดีกว่าาา หลายคนคงสงสัยใช่ไหมว่าไม่มีพื้นฐานมาเลยได้ไหม เราตอบเลยนะว่า ได้….. แต่…………………………………….. ควรมีพื้นฐานมาก่อนจริงๆ! คือว่าก่อนที่เราจะมา เราก็หาข้อมูลในเน็ทต่างๆว่าแบบไม่มีพื้นฐานมาได้ไหม ก็จะเจอแต่คำตอบที่บอกประมาณว่า ได้ แต่มีไปจะดีกว่า เราก็คิดในใจว่า ไม่เห็นจำเป็นต้องมีพื้นฐานไปเลย(เอาจริงๆเราขี้เกียจอ่านก่อนไปด้วยแหละ555) เราคิดว่าก็แค่ไปเริ่มเรียนใหม่ที่นู้นเลยง่ายดีจะได้จำแบบคนเกาหลีสอนไปเลย แต่พอเรามาเจอกับตัวจริงๆเราจึงเข้าใจแล้วว่าทำไมถึงควรมีพื้นฐานไปก่อน!!!! เราจะเล่าให้ฟังเลยว่าอาจารย์เขาก็จะเริ่มสอนตั้งแต่พยัญชนะ สระ ตัวสะกดเลย แบบเริ่มออกเสียงตั้งแต่ตัวแรกเลยนั่นแหละ คือแรกๆมันก็ดูจะเหมือนไม่มีปัญหานะ เราก็ Enjoy แต่พอเริ่มต้องมีแกรมม่าเข้ามาแทรกหรือเนื้อหาเริ่มลึกมากขึ้น มันก็ทำให้เริ่มงง งง งง! เพราะประเด็นคือว่าอาจารย์หรือซอนแซงนิมของเราเนี่ยยย ใช้ภาษาเกาหลีในการสื่อสารซะส่วนใหญ่เลยยย(เหมือนที่อ่านรีวิวไว้เลยจริงๆ แต่ไม่รู้ว่าที่มหาลัยจะเป็นแบบนี้รึป่าวนะใน level เดียวกัน) เวลาสอนคำศัพท์ก็จะอธิบายโดยการวาดภาพประกอบ(มีครั้งนึงเขาวาดภาพหมู แต่เรามองนึกว่าเป็นไก่ จริงๆนะ จนต้องหันไปถามเพื่อนข้างๆว่านั่นหมูหรือไก่55) คือเขาจะสื่อสารส่วนใหญ่แบบแทบไม่ใช้ภาษาอังกฤษเลย แต่จะอธิบายเป็นภาษาเกาหลี ภาษาญี่ปุ่นและภาษาจีน จะใช้ภาษาอังกฤษบ้าง แต่น้อยถึงน้อยที่สุด! ทำให้มันงง ฝรั่งชาวอเมริกาที่นั่งข้างๆ เคยแบบทนไม่ไหวจนต้องยกมือบอกอาจารย์ว่า เวลาอธิบายช่วยอธิบายเป็นภาษาอังกฤษด้วยได้ไหม เพราะเขาไม่เข้าใจ แต่อาจารย์ก็บอกประมาณว่า ทำแบบนั้นไม่ได้เพราะมีคนจีนกับคนญี่ปุ่นอยู่ด้วย =.= แล้วอาจารย์เขาก็บอกว่าเขาไม่เก่งภาษาอังกฤษ (ซึ่งก็จริงอะ เขาไม่สามารถอธิบายแกรมม่าบางอย่างให้เราเข้าใจเป็นภาษาอังกฤษได้) ซึ่งนั่นก็เป็นปัญหาใหญ่มาก เพราะขนาดแกรมม่าบางอย่างเราต้องกลับไป search เน็ทหาอ่านเองเป็นภาษาไทย เรายังไม่เข้าใจเลย แต่อาจารย์เขาก็ไม่ใช่ทิ้งเด็กขนาดนั้นนะ เขาก็ดูมีความพยายามที่จะทำให้เด็กเข้าใจนะ เวลาไม่เข้าใจก็ยกมือถามได้ แต่เราว่าถ้าเขาไม่สามารถใช้ภาษาอังกฤษได้อย่างดี คนต่างชาติอย่างเราก็ไม่มีวันเข้าใจอะ ***และคือนี่แหละเป็นสิ่งสำคัญที่เราคิดว่า ควรมากๆที่ต้องเริ่มเรียนภาษาเกาหลีที่ไทยกับครูคนไทยหรือครูต่างชาติก็ได้ที่จะสามารถอธิบายแกรมม่าให้เราเข้าใจได้อย่างแจ่มแจ้งก่อนมา! พอถ้าเราพอเข้าใจแล้ว มาเรียนที่นี่ซ้ำมันจะง่ายกว่ามากๆ และคือจริงๆความเห็นส่วนตัวเรามองว่าอาจารย์เขาควรอธิบายเป็นภาษาอังกฤษนะเอาจริง เพราะนี่มันเป็นระดับ Beginner อะ แล้วคนส่วนใหญ่ในห้องที่มาก็ใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสาร พอยิ่งงง มันก็งงทับถมไปเรื่อยๆ555 แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะงงไปซะหมดขนาดนั้นนะ มันก็พอถูไถอะ ในส่วนของเรา คือเราไม่ได้ตั้งใจมาเอาภาษาขนาดนั้น เพราะรู้ว่าแค่สองเดือนมันไม่ได้อะไรหรอก เราก็เลยแบบไม่ได้ซีเรียสอะไรมาก แต่อาจารย์เขาก็น่ารักนะ เขาตั้งใจสอนอยู่นะ แต่คือบางทีมันไม่เข้าใจจริงจริ๊ง55 คือการเรียนที่นี่ก็มีการบ้านทุกวัน เยอะด้วยนะ55 มีสอบย่อยต่างๆ มีพรีเซ้นต์ด้วยนะ(แต่เราไม่ได้เข้าคาบนั้น55) มีเช็คชื่อ มีเช็คการบ้าน แต่ไม่เข้าหรือไม่ทำการบ้านอาจารย์เราก็ไม่ว่านะ5555 และมีสอบใหญ่ตอนท้ายเดือนด้วย รวมถึงที่นี่จะมีกิจกรรมด้วยแต่ในละเดือน คือเป็นกิจกรรมนอกสถานที่ คือจะพาไปเที่ยวนั่นแหละ อย่างตอนเราไปก็มีพาไปที่ Haneul park แต่ไม่บังคับนะใครจะไปก็ได้ไม่ไปก็ได้ มีกิจกรรมใส่ชุดฮันบกที่สถาบันและก็จะมีปาร์ตี้ทุกๆเดือนซึ่งก็ไม่บังคับอีกเช่นกัน555 ซึ่งถ้านับดูจริงๆสำหรับสถาบัน ในเดือนนึงจะเรียนเพียงแค่ประมาณ 17 วันเองเพราะเรียนแค่ 4 วันต่ออาทิตย์(วันละสามชั่วโมง) ตัดวันไปทัศนศึกษาออก 1 วัน และในบางเดือนก็จะชอบมีวันหยุดอีก55 ซึ่งทั้งหมดทั้งมวล สรุปว่าเราขอแนะนำเลยว่าถ้าใครแบบตั้งใจมาเรียนจริงจังให้ได้ภาษากลับไปสื่อสารได้เลย เราว่าควรมีพื้นฐานมาก่อนจริงๆ แล้วมาเรียนที่มหาลัยเลย เพราะที่มหาลัยเราคิดว่าน่าจะเข้มข้นกว่าที่สถาบันมากๆ แต่ไม่ใช่ว่าที่สถาบันไม่เข้มข้นนะ แต่เราคิดว่าที่มหาลัยอาจเข้มข้นกว่ามากๆ แต่ถ้าใครอยากมาลองแบบเรา สักเดือน สองเดือน หรือน้อยกว่าเดือนก็ได้นะ มาลองเรียนดู มาซึมซับบรรยากาศ มาให้ได้รู้ว่าเป็นยังไง เราว่าก็ไม่เสียหายนะสำหรับการมาเรียนที่สถาบันนี้ มันก็จะได้ประสบการณ์ไปอีกแบบนึง 🙂 (เสริมอีกนิด คือจริงๆถ้าใครตั้งใจมาเรียนที่สถาบันก็คือไม่ได้บอกว่าแย่นะ คือเขาก็สอนเข้มข้นอยู่ แต่อันนี้เป็นเพียงการแนะนำในความคิดของเราเท่านั้นเอง) อยากรู้เรื่องเพื่อนแล้วใช่ไหม ไปคนเดียวจะเป็นยังไง อ่านต่อที่หัวข้อต่อไปได้เล้ยยยยย

– เพื่อนที่เรียนเป็นยังไงบ้าง ไปคนเดียวหาเพื่อนยากไหม เหงาไหม?

DSCF1309

ก่อนที่จะมาที่นี่ ตอนแรกเราไม่ได้ตั้งใจมาคนเดียวหรอก ตอนแรกมีเพื่อนที่จะมาด้วยกันแต่เพื่อนกลับมีปัญหามาด้วยไม่ได้ เราเลยคิดหนักมาก!ว่าจะไปดีไหม แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจไป เพราะคิดว่าถ้าไม่ไปตอนนี้คงก็ไม่มีโอกาสไปเรียนอะไรแบบนี้แล้ว จะเล่าว่าวันแรกที่ไปเราก็ภาวนาในใจว่าอย่างน้อยขอให้เจอคนไทยสักคนก็ดีวะ55 อย่างน้อยมีอะไรไม่เข้าใจจะได้ถามเพื่อนหรือช่วยกันได้บ้าง แต่พี่เอเจนซี่คนไทยที่เราไปเจอที่นู้น เขาก็บอกกับเราว่ายังไงก็เจอแน่นอน เพราะเท่าที่เขาเคยพาน้องๆไป น้องทุกคนจะเล่าให้เขาฟังว่าเจอคนไทยในห้องเรียนทุกครั้ง แต่เราก็คิดว่า เราอาจจะไม่เจอก็ได้.. คือมันก็เป็นไปได้หมด หรือ เจอแล้วไม่ถูกจริตกันละ 5555 แต่ช่างมันเถอะ ตอนนั้นคิดว่าจะเจอไม่เจอยังไงชาติไหนก็จะ make friends ไว้ก่อนเลย 555 พอวันแรกที่ไป เราก็ไปแอบดูรายชื่อของห้องเราก่อนเลย ก็คือดีใจมากเพราะเจอชื่อคนไทย แต่ตอนเราเข้าไปนั่งก็มองซ้ายมองขวาก็ไม่เจอคนไทย จนประตูปิดที่เต็มแล้วก็ยังไม่เจอ เลยคิดว่าคนไทยคนนั้นไม่น่าจะมาแล้วววว แงงง แต่ทันทีที่อาจารย์ให้แนะนำตัว คนแรกของห้องที่เราคิดว่าเป็นคนจีนคนนั้นก็พูดขึ้นมาว่า Hello, I’m from Thailand! เรานิ ดีใจมากก แต่เขายังไม่เห็นเรานะ555 พอเราแนะนำตัวว่ามาจากไทยเหมือนกัน เขาก็หันมาโบกมือและยิ้มให้ คือเขาก็ตกใจ เพราะเขาคิดว่าเราเป็นญี่ปุ่น55 พอถึงช่วงพักก็เลยไปทำความรู้จักกัน หลังจากนั้นก็สนิทเลย ไปกินข้าว ไปเที่ยวด้วยกันบ้างหลังเลิกเรียน5555 คือถือว่าเราก็โชคดีนะ เพราะถ้าไม่เจอเพื่อนคนไทยในช่วงแรกๆ คงไม่มีคนให้คุยปรึกษาเรื่องต่างๆและไม่มีคนให้ถามเวลางงที่อาจารย์สอน เราคิดว่าถ้าใครมาคนเดียวแล้วมาเรียนที่นี่ก็น่าจะเจอเพื่อนคนไทยนะ เพราะอย่างเดือนที่สองเพื่อนคนไทยของเรากลับไทยไปก่อน เราก็คิดว่าจะเหงาแล้ว แต่ก็มีเพื่อนคนไทยคนใหม่มาเรียนในห้องเช่นกัน5555 ส่วนเพื่อนต่างชาติในห้องก็ดูเฟรนลี่กันดีนะ แต่เท่าที่เราสังเกตคือคนส่วนใหญ่ที่มาเรียนที่สถาบันนี้ก็คือไม่ได้ต้องการจะมา make friends อะไรมากมาย (เรารู้ประมาณนี้นะเท่าที่เจอ) อารมณ์แบบว่ามาเรียน เรียนเสร็จก็แยกย้ายประมาณนั้น5555 แต่ทุกคนก็ดูเฟรนลี่นะ สนุกสนานหัวเราะเวลาอยู่ในห้อง อาจเป็นเพราะว่าการเรียนที่นี่มันจะอารมณ์แบบเรียนอย่างเดียวเลย ไม่ค่อยได้มีกิจกรรมให้สานสัมพันธ์กันมากเท่าไร เปรียบเทียบการตอนที่เราไปเรียนซัมเมอร์ที่อังกฤษ คือที่นั่นภาคเช้าจะเรียน แต่ภาคบ่ายจะเป็นแบบกิจกรรมที่ให้คนที่ห้องทำร่วมกัน มันก็จะทำให้สนิทกับเพื่อนได้เร็วกว่า แต่ไม่ใช่ว่าที่นี่ไม่มีเลยนะ แต่น้อยกว่าแค่นั้นเอง แต่เราก็เห็นคนต่างชาติเขา make friends กันอยู่นะ อย่างเราก็คุยกับเพื่อนต่างชาติบ้าง แต่พอดีเจอเพื่อนคนไทย เลยเม้าท์แต่กับเพื่อนคนไทย5555 (ไม่ดีๆนะ อันนี้ถ้าใครไปเรียนจริงจัง ก็พยายามเข้าหาเพื่อนคนต่างชาติบ้างก็ได้ แต่เลเวลแบบพื้นฐานแบบเรา ถึงสนิทกับคนต่างชาติก็ไม่ได้ใช้ภาษาเกาหลีอยู่ดีแหละ5555) เอ้อออ ขอเล่าเรื่องโลกกลมคั้นนิดนึง คือมีเรื่องพีคคือว่า มีเพื่อนชาวสวิซเซอร์แลนด์อีกคนนึง เดินเข้ามาทักเราวันแรกว่า จำเขาได้ไหม คือเราจำไม่ได้ ประเด็นคือเขาเคยเรียนที่สถาบันเดียวกับเราที่อังกฤษ คือพีคคคคคคคคคมากกกกกกกกก แต่เราจำเขาไม่ได้นะ เพราะไม่เคยเรียนห้องเดียวกัน แต่เขาจำเราได้ โลกโคตรกลมอ่ะ555555555 ไม่มีไรหรอก เล่าเฉยๆ5555 สรุปเรื่องหาเพื่อนก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไรนะ ถ้าใครจะมาคนเดียวแบบเราแล้วอยากมีเพื่อน เราก็ขอให้เจอเพื่อนคนไทยนะ หรือเพื่อนต่างชาติก็ได้ที่คุยกันถูกคอนะ แต่ถ้าแบบว่ามีเพื่อนมาเรียนด้วยกัน ก็น่าจะดีเลยละ จะได้ไม่เหงาเนาะ ^^

– การใช้ชีวิตที่กรุงโซล ประเทศเกาหลี

มาถึงเรื่องการใช้ชีวิตที่นี่ ก็บอกได้เลยว่าถ้าใครเคยใช้ชีวิตอยู่ในกรุงเทพฯ แล้วรู้สึกว่าสะดวก (รึป่าว555) มานี่ก็จะยิ่งรู้สึกสะดวกมากขึ้นไปอีก การใช้ชีวิตของเราที่นี่ส่วนใหญ่เราจะเลือกเดินทางด้วยรถไฟฟ้าใต้ดิน ซึ่งบัตรที่ใช้จ่ายเงินก็คือ บัตร T-money ซึ่งบัตรนี้่จะสามารถใช้ได้ทั้งรถไฟใต้ดิน รถเมย์ รถบัส จ่ายเงินในร้านสะดวกซื้อ จ่ายค่าแท็กซี่ บลาๆๆ ซึ่งตามสถานีรถไฟใต้ดินก็จะมีตู้จำหน่ายบัตรนี้ รวมถึงมีตู้ที่ไว้เติมเงินเมื่อเงินในบัตรหมด ซื้อที่ร้านสะดวกซื้อก็ได้นะ บอกเลยว่าใครจะไป ให้โหลดแอฟ Google Map ไว้! เพราะทั้งสองเดือนที่เราอยู่ที่นู้น เราใช้แอฟนี้แหละในการดูทาง แอฟมันจะบอกหมดเลยว่าไปยังไงได้บ้าง เปลี่ยนสายที่ไหนอะไรแบบนี้ อาจจะมีหลงบ้างอะไรบ้าง แต่สุดท้ายก็ไปถึงที่หมาย แต่ส่วนใหญ่เราจะเลือกการเดินทางที่สามารถไปได้ด้วยรถไฟฟ้าใต้ดินได้ เพราะถึงหลงก็ยังอยู่ในใต้ดิน เราไม่ค่อยชอบเดินทางด้วยรถเมย์ เพราะลงผิดบ่อยมาก คือบางทีฟังไม่ทันบ้างหรือบางทีเผลองีบไป มันเลยป้ายย5555 เลยชอบเดินทางโดยใต้ดินมากกว่า กิจกรรมหลักของเราตอนอยู่ที่นี่เลยคือการหาของหวานกิน5555 ถ้าใครตามไอจี Peenutbuttersandwich ของเราก็น่าจะรู้นะ555 คือว่างตอนไหน เราก็จะออกไปตะลุยคาเฟ่ ตะลุยหาขนมอร่อยๆกิน รวมถึงไปหาที่สวยๆถ่ายรูป เดินเล่น ซึมซับบรรยากาศให้ได้มากที่สุด คือเราจะพยายามไม่ปล่อยเวลาให้ว่างเลย เนื่องจากเราอยู่แค่สองเดือน ต้องเอาให้คุ้มมมมมมมมม! สนุกมากนะ55

DSCF0061

– ไปเที่ยวไหนมาบ้าง?

โอ้โห ถ้าพูดถึงเรื่องเที่ยว การอยู่ที่นี่สองเดือน เราว่าเราก็ไปคุ้มละนะ555 เพราะอย่างที่บอกว่าเป้าหมายหลักของเราคือการไปใช้ชีวิต เก็บบรรยากาศต่างๆ เรียกได้ว่าเราก็ไปทีที่เราอยากไปมาหมดแล้ว อย่างคาเฟ่นี้คือก่อนจะกลับมีเวลาว่าง คือเราไม่รู้จะไปคาเฟ่ไหนแล้วอะ คือเราไปที่ที่เราอยากไปหมดแล้วจริงๆ5555 เดี่ยวคาเฟ่ไว้จะเขียนรีวิวแยกอีกทีนะ อันนี้ก็ขอแนะนำสถานที่สวยๆที่เราไปมานิดๆเป็นน้ำจิ้มนะ อย่างเมียนดง, ชินชน, ฮงแด, อีฮวา อะไรพวกนี้คงไม่ต้องพูดถึงมากเนาะ เพราะอยู่นี่คือไปเดินเล่นบ่อย จนจำซอยได้หมดละ555

อันนี้ Everland นะ ของเล่นเยอะดี ใครไปขอให้ไปลอง T-express นะ บอกได้เลยว่า เราเกือบเอาชีวิตไปทิ้งไว้บนนั้นแล้ว มันคือของเล่นที่น่ากลัวที่สุดที่เคยเล่นมาแล้ว เคยเรียนแบบเหวี่ยงออกนอกทะเลยังไม่น่ากลัวเท่านี้เลย! ไปลองฮะ55555

Dongdaemun Design Plaza อันนี้ค่อนข้างกลายเป็น landmark ของคนไทยตอนนี้แล้วครับ ใครไปคือต้องไปถ่ายรูปเกร๋ๆกันทั้งนั้น55

Ihwa Mural Village อันนี้เป็นสถานที่อาร์ตๆครับ แต่คือต้องแอบเดินขึ้นดอยหน่อยๆ คือมันจะเป็นเนินขึ้นไปเรื่อยๆอ่าครับ เหนื่อยหน่อย5555

แม่น้ำฮัน อันนี้แนะนำเลยครับ ชิวมากกกกกกกกกกกก บรรยากาศดีมากๆๆๆๆ ไปปูเสื่อสั่งไก่ทอดมากินริมแม่น่้่ำก็ได้

Haneul park อันนี้ก็คืออีกหนึ่ง landmark สุดฮิตของคนไทย แต่จริงๆมันก็เป็น landmark ยอดฮิตของคนเกาหลีเช่นกัน ตอนเราไป เราไปกับเพื่อนคนจีนที่ทำงานอยู่ที่เกาหลี เขาบอกว่าคนเกาหลีนิยมมาถ่ายรูปที่นี่ไม่แพ้ชาวต่างชาติเลย ก็แหงละ สวยซะขนาดนี้5555 แต่คนเยอะมากเช่นกัน ยิ่งเราไปวันเสาร์ด้วย คนโคตรเยอะเลย55 แต่มันกว้างมากเลยนะ กว้างมากๆ มีที่ถ่ายรูปเยอะจริงๆ

Lotte World อันนี้เราซื้อบัตรแบบเข้าไปดูเฉยๆไม่ได้เล่นเครื่องเล่นนะ โดยรวมคิดว่า everland น่าจะดีกว่า คือ lotte world มันดูเก่ามากๆๆ555 แต่ขนมเยอะนะ

SM Town ด้วยความติ่งเลยขอไปเยือนนิดนึง5555

Busan Trip ก่อนกลับไทย เราก็ได้มีโอกาสไปปูซานกับเพื่อนด้วย คือยังไงก็จะไปให้ได้ เพราะติ่งหนัง train to busan หนักมาก55 ไว้จะมารีวิวอีกทีอย่างละเอียดสำหรับทริปปูซาน 2 วัน 1 คืน ตื่นเต้นมากกับการนั่ง KTX ครั้งแรก 5555

ก็จะประมาณนี้นะ น้ำจิ้มๆ ไว้จะมารีวิวอย่างจริงจังแยกอีกที รอติดตามกันด้วย555

– อากาศช่วงที่ไปเป็นไงบ้าง?

คืออย่างที่บอกว่าเราไปช่วงตุลาคม-ต้นธันวา คือมันเป็นช่วงคาบเกี่ยวมากๆ คือตอนแรกที่ไปจะแบบอากาศกำลังดี ไม่หนาว ไม่ร้อน คือบางวันไม่ต้องใส่เสื้อกันหนาวได้เลย แต่พอถึงช่วงพฤศจิกายน มันก็หนาวมากๆ จริงๆมันก็เริ่มหนาวตั้งแต่กลางๆตุลาแล้วละ พอปลายๆพฤศจิกายนนี้คือหนาวแบบไม่ไหวแล้ว ต่ำสุดที่เจอคือประมาณ -7 ครับตอนดึกๆ และจริงๆคือเราไม่ได้คาดหวังที่จะเจอหิมะเลยนะรอบนี้ แต่กลายเป็นว่าหิมะตกบ่อยมาก555555 เมื่อสี่ปีที่แล้ว เราเคยมาเที่ยวเกาหลีครั้งแรกตอนปลายปี เพื่อหวังจะเจอหิมะ แต่ก็ไม่เจอ แต่รอบนี้คือจัดเต็ม ตกบ่อยมากช่วงก่อนกลับ แต่มันก็หนาวมาก หนาวจนต้องไปซื้อเสื้อโค้ทเพิ่มอะครัช555

– อาหารการกิน ขนมเป็นไงบ้าง คาเฟ่เยอะถูกใจไหม?

โอ้โห เรื่องอาหารการกินนี่คือไม่ต้องพูดถึงครับ ถ้ายิ่งใครที่ชอบกินอาหารเกาหลี ขนมเกาหลีอยู่แล้ว ก็คือฟินแน่นอน แต่อยู่นี่เราฝากท้องไว้กับ Gs25 บ่อยมากครับ555 Gs25 ของที่นี่ก็เปรียบเหมือนเซเว่นบ้านเรานั่นแหละครับ แต่เกาหลีก็คือเซเว่นเหมือนกันนะครับ แต่เราว่าพวกอาหารสด แบบที่เป็นอาหารกล่องเหมือนที่เซเว่นบ้านเรา ใน Gs25 จะน่ากินกว่า5555

นี่เป็นแค่รูปตัวอย่างขนมใน Gs25 นะครัช ของอร่อยๆๆๆๆเยอะมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆ พูดแล้วคิดถึงสุดๆ

แถวที่เราอยู่อย่างชินชน พวกร้านอาหารก็เยอะมากกๆๆๆๆๆ แค่เดินออกมาหน้าหอก็ร้านอาหารเต็มไปหมดแล้ว สะดวกมากจริงๆ ใครมาอยู่ชินชน มันมีร้านไก่ทอดอร่อยเยอะมาก แต่ที่เรากินบ่อยที่สุดจะเป็นร้าน Mom’s touch ซึ่งมีเมนูเยอะมากๆ เราลองหลายเมนูคือติดใจมากๆๆๆๆๆๆๆ ฮืออ พูดแล้วยังคิดถึงอยู่เลย เฟรนฟรายก็อร่อยมากร้านนี้ อยากให้มีคนเอามาเปิดที่ไทยมากๆ!

อยู่แถวนี้ไม่มีทางอดอยาก มีแต่จะอ้วนขึ้นอ้วนขึ้นๆฮะ5555

ส่วนร้านขนม คาเฟ่ต่างๆบอกเลยว่าถูกใจสาวกของหวาน สาวกตะลุยคาเฟ่แน่นอน คือเราไปตะลุยมาเยอะมากๆๆๆๆๆๆๆ แล้วประทับใจหลายร้านมากๆๆๆๆ ไว้จะรีวิวแยกอีกทีอย่างจริงจัง555 เดี่ยวเอารูปมาเป็นน้ำจิ้มก่อนนิดหน่อย55

นี่แค่น้ำจิ้มจริงๆครัช5555 หลายคนคงคิดว่านี่เราไปเรียนหรือไปกิน ตอบเลยว่า ไปกิน555555555555 ก็คืออาหารการกินคือไม่ต้องห่วงเลยครัช กลับมาอ้วนขึ้นแน่นอน5555

– สิ่งที่ได้จากการไปครั้งนี้

DSCF4320

การไปในครั้งนี้สำหรับเรา เราถือว่าเราบรรลุเป้าหมายของตัวเองอย่าง completed!แล้ว 5555 เพราะถึงแม้ในเรื่องของภาษา จะได้มาเพียงนิดหน่อย (เรียกว่ากะปริบกะปรอยเลยแหละ555) แต่เราไม่ได้ตั้งเป้านี้เป็นเป้าหมายหลักของเราตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ส่วนตัวเราอยากไปลองใช้ชีวิตที่นู้นดู ไปดื่มด่ำบรรยากาศต่างๆ ไปเปิดโลก และที่สำคัญคือไปหาประสบการณ์ให้กับชีวิตตัวเอง(ไปกินด้วย555555) ซึ่งเราก็ถือว่าเราบรรลุเป้าหมายของตัวเองได้เรียบร้อยและไม่เสียใจเลยที่ตัดสินใจไปในครั้งนี้ และเราก็รู้สึกดีมากในตอนนี้ที่เราได้ไปคนเดียว เพราะมันทำให้เราได้ไปเรียนรู้การใช้ชีวิตคนเดียว เจอปัญหาต่างๆและแก้ปัญหาด้วยตัวของตัวเอง และยังได้เรียนรู้ในการใช้ชีวิตอยู่คนเดียวอย่างมีความสุขด้วย ^^

– ข้อแนะนำส่งท้าย

(อันนี้เพื่อนญี่ปุ่นกับเพื่อนคนจีนที่เคยเรียนที่เดียวกันที่อังกฤษ นัดเจอกันที่เกาหลี แฮปปรี้มากครัช5555)

ขอบคุณก่อนเลยนะครัช ถ้าใครอ่านมาถึงตรงนี้555 สำหรับใครที่กำลังลังเลอยู่ว่าจะไปดีไหม เราก็แนะนำให้ไปเลย บางคนอาจจะคิดว่าเสียดายเงินอะไรแบบนี้ มันก็ใช่ เรื่องของเงินบางอย่างถ้ามันต้องเสีย มันก็เสีย แต่สำหรับเรา เราคิดว่าสิ่งที่เราได้กลับมามันคือประสบการณ์ชีวิตอันล่้ำค่านะ(เวอร์มะ555) ก็ถ้าใครที่กำลังตัดสินใจหรือมีแพลนว่าจะไป ก็ดูให้ดีๆ ว่าจะไปเรียนที่ไหนอะไรยังไง คำแนะนำต่างๆเราก็ได้พูดไว้ในเรื่องต่างๆด้านบนหมดแล้วในส่วนของเรา แต่บอกไว้ก่อนว่าประสบการณ์ต่างๆที่เราได้เล่าไป เป็นประสบการณ์ที่เราสัมผัสมา ซึ่งไม่ใช่ว่าทุกคนที่ไปแล้วจะเจอเรื่องราวแบบเราหมด ไม่แน่บางคนอาจจะไปแล้วเจอเรื่องฟินๆกว่าเราก็ได้555 แล้วก็ไม่ใช่ว่าปัญหาที่เราเจอ ทุกคนไปแล้วจะเจอปัญหาแบบเดียวกับเราไปซะหมด ยังไงถ้าตัดสินใจว่าจะไปแล้ว ก็ขอให้ Let’s do it! ไม่ต้องลังเล ดูตัวอย่างเราได้ เพราะตอนแรกเราก็เรียกได้ว่า โคตรจะลังเลเลย คิดดูใช้เวลาตัดสินใจเกือบ 4 เดือนอะ5555 แต่สุดท้ายเราก็ไปอยู่มาได้และได้ประสบการณ์สนุกๆมากมาย สุดท้ายก็ก่อนจะตัดสินใจอะไรก็ขอให้หาข้อมูลดีๆและหวังว่าข้อมูลของเราจะเป็นอีกหนึ่งข้อมูลที่ช่วยให้การตัดสินใจของคนที่อยากไปแบบเราน้า ข้อมูลผิดพลาดประการใด ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ

DSCF5412

(นี่คือสภาพตอนกลับและต้องขนของกว่า 50 กิโลกลับไทยเนื่องจากซื้อเสื้อกันหนาวหนักมาก T.T แต่ก็สนุกดีครัช จบทริปอย่างสมบูรณ์)

ปล.ในส่วนของค่าใช้จ่าย ถ้าใครต้องการทราบ เราก็อาจจะให้ข้อมูลได้คร่าวๆนะ ถ้าใครจะสอบถามมา เนื่องจากเราไม่ได้กล่าวเรื่องค่าใช้จ่ายโดยรวมไว้ในบทความ เพราะเราคิดว่าถ้าใครไปติดต่อเอเจนซี่ ก็น่าจะได้ข้อมูลในส่วนนั้นแล้ว และส่วนในเรื่องของซิมโทรศัพท์ เราไม่สามารถให้ข้อมูลได้นะ เพราะว่าเราไม่ได้ซื้อซิมใส่ เราไปแค่ 2 เดือน เลยตัดสินใจเช่า pocket wifi จากที่ไทยไปครับ

ขอบคุณค้าบบบบบบ ><

 

 

Nice to meet you :) มารู้จักกันหน่อยย

Hello Everyone! สวัสดีครับทุกคนน!

IMG_0695

I’m “Pee” (I know the meaning of that in English haha but I’m used to writing my name like that so please don’t focus on that meaning XD)

IMG_0682

as

pagelllllllllll

I live in Bangkok, Thailand. (I’m Thai) I was born in 1993. Now, I just graduated from a faculty of Journalism & Mass Communication from Thammasat University.

Photo 12-16-2560 BE, 4 07 17 PM

If you are the one who follow me on instagram “peenutbuttersandwich” as my ID name (https://www.instagram.com/peenutbuttersandwich), I think you would already know my lifestyle but if you never know me before I would tell a little bit about myself 😉

picccccccccccccccc

I’m a person who really really! love dessert, especially a things like Ice Cream, Shaved Ice or Bingsu etc. like that! haha.. My kind of hobby is like going to a cute cafe or a yummy ice cream shop, finding a yummy dessert or ice cream and I really love to share a information about those cafe or those ice cream to everyone. I also love to take a picture of everything! also a video, So that’s why I have a lot of picture about dessert, lifestyle, me, scenery like everything lol. I think if you follow me on instagram maybe you will know me better haha

rew

I really love to travel to a cute place to find a cute dessert, cute cafe and also a yummy dessert ^^ These are my trips I’ve been to..

dsadasdasd

korea

jp

Photo 12-20-2560 BE, 8 26 01 PM-horz

Photo 12-20-2560 BE, 8 23 51 PM-horzsdsd

Photo 12-20-2560 BE, 8 23 39 PM-horzsadadsaasdad

Anyway, last year I just published my first photobook about Ice Cream Shop that I have been to, it’s called “Ice Cream Mania ตะลุยกินไอศกรีมสุดฮิต” In my photobook, there’re 2 big part, first part is the ice cream shop in Bangkok and the second part is the ice cream shop in Korea, Tokyo and Hongkong also a little bit in England and Chiangmai. If you are interested you can order it by this website https://thailand.kinokuniya.com/bw/9786167055763 but it’s only thai version.

cats

Credit Pic : thailand.kinokuniya.com

so, Nice to meet you everyone 🙂

___________________________________________________________________________________________

สวัสดีครัชทุกคน! เราพีร์เองง จากไอจี Peenutbuttersandwich ตอนนี้ตั้งใจจะมาเขียนบล็อคใน wordpress นี้ ฝากติดตามกันด้วยน้าาา ><

สำหรับใครที่ยังไม่รู้จักกัน อ่านประวัติสัมภาษณ์เราได้จากลิ้งค์นี้เลยน้า

‘พีร์’ หนุ่มสายกินตัวยง ผู้มียอดฟอลหลักแสนจากการโพสต์ไอศกรีมและขนม!

https://www.dek-d.com/activity/47894

sdfdsfsdf

หรืออ่านผลงานรีวิวเก่าๆของเราได้ที่นี่เลย

● รีวิว สุดยอดไอศกรีมในกรุงเทพ สำหรับคนรักไอติม ><

https://pantip.com/topic/33173082

1422632825-pagee-o

● รีวิว สุดยอดของหวานในเกาหลี เมนูที่ใครไปไม่อยากให้พลาด! ><

https://pantip.com/topic/33206418

1423252298-asdads-o

● รีวิว สุดยอดของหวานในกรุงเทพ หลากหลายเมนูที่ไม่อยากให้คุณพลาด! ><

https://pantip.com/topic/33183276

Processed with VSCOcam with c1 preset

● รีวิว สุดยอด”ขนมหวาน”หลากหลายเมนู จากเมืองผู้ดี ประเทศอังกฤษ ><

https://pantip.com/topic/33244626

1424015554-page-o

● ตะลุยกินสุดยอดไอศกรีมในโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น 6 วัน 20 แท่ง ><

https://pantip.com/topic/34147127

1441472975-page-o

● รีวิวไอศกรีมราคาถูก แต่อร่อย ในกรุงเทพฯ สำหรับคนงบน้อยอย่างเรา ><

https://pantip.com/topic/34851248 

o39us5eqtub5YPhYw8k-o.jpg

● หนีความโหดร้ายทั้งหลายในโลกแห่งความจริง แล้วไปฟินกับสุดยอดของกินทั่วกรุงเทพฯกัน ><

https://pantip.com/topic/34879399

o3mtgcn3tkzwn3s96oY-o.jpg

● รีวิวสุดยอดของกินในกรุงเทพฯ แบบฉบับตามใจฉัน กินอะไรถ่ายทุกอย่าง ><

https://pantip.com/topic/35604856

odmz5jaibAmm3GcpnH1-o

● หนีความร้อนระอุของเมืองไทย ไปตามล่ากินไอติมแบบจัดเต็มกับเราที่โตเกียวกับฮอกไกโดกัน ><

https://pantip.com/topic/36235364

om6hwqgozLmrFcs9YD1-o

● ทริปตะลุยกินแหลกกับหลากหลายสุดยอดของหวานที่ไต้หวัน ><

https://pantip.com/topic/36814278

ovczmeedxK8bxJsScrH-o

● พลีชีพรีวิวขนมหวานในกรุงเทพฯ 2017 ก็เพราะขนมหวานคือส่วนหนึ่งของชีวิตเรา 🙂

https://pantip.com/topic/36925650

ox00ovjn84cZWxjBbR3-o

สำหรับใครที่สนใจ Pocket Book “Ice Cream Mania ตะลุยกินไอศกรีมสุดฮิต” ของเรา สามารถหาซื้อได้ตามร้านหนังสือทั่วไป ทั่วประเทศ หรือสั่งออนไลน์ตามเว็ปไซต์หนังสือทั่วไปเช่นกัน

(ขอบคุณแหล่งที่มาของภาพครับ)

ติดตามกันได้ทางบล็อคนี้หรือตามช่องทางตามลิ้งค์ด้านล่างเลยครับ

https://www.instagram.com/peenutbuttersandwich

https://www.facebook.com/peenutbuttersandwich

ขอบคุณครับ 🙂